วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

หัวหิน ไม่สิ้นมนต์เสน่ห์ Ep. 2 [END] By Naam@SugarBrown





ก่อนจะ Good Morning วันใหม่ คงต้องวกไปเรื่องที่มีหลังไมค์ถามถึงใน Ep.1 นั่นคือเรื่องเส้นทางลัด ที่ช่วยย่นระยะทางในการไปหัวหิน ซึ่งเราตั้งใจจะกั๊กไว้เพื่อให้มีคนติดตาม 555 และในเมื่อคุณขอมา Sugar Brown ก็จัดให้ เรามาตั้งต้นเดินทางไปหัวหินกันอีกครั้งที่ถนนพระราม 2 ขับตรงยาวจนเข้าเขตสมุทรสงคราม สังเกตจากกลองขนาดบิ๊กไซต์ ตรงไปข้ามแม่น้ำแม่กลอง ปั๊มน้ำมันแรกที่จะพบด้านซ้ายมือคือปั๊ม ปตท. เตรียมตัวศึกษาเส้นทางใหม่กันตรงนี้ หักพวงมาลัยออกไปคู่ขนานผ่านหน้าปั๊ม จะพบซอยที่มีป้าย "เส้นทางลัดไป อ.ชะอำ"


เลี้ยวซ้ายวิ่งไปตามทางเรื่อย ๆ จะพบทางแยกซ้ายเพื่อไปคลองโคน ใครสนใจจะปลูกป่าชายเลนก่อนก็สามารถไปติดต่อที่ อบต. คลองโคนแต่แนะนำให้โทรจองล่วงหน้า เพื่อเจ้าหน้าที่จะจัดเรือไว้ให้ ลำเล็กใหญ่ เหมาะสมกับจำนวนคน กลับเข้าเส้นทางมุ่งสู่หัวหินกันต่อ ขับแยกไปด้านขวา ข้ามสะพาน แล้วไปตามทางเรื่อย ๆ ก็จะพบป้ายชี้ไปหาดเจ้าสำราญ หาดปึกเตียน หาดชะอำ ที่เอามาตั้งหลอกขำ ๆ เพราะการเดินทางเพิ่งเริ่มต้น


ขับตรงไปต่อจนเจอทางแยกไปเขายี่สาร แยกนี้เราเลี้ยวซ้าย เว้นแต่ว่าใครอยากจะสักการะหลวงพ่อร้าย วัดเขายี่สาร ชมพิพิธภัณฑ์ และหาของอร่อย ๆ ทานช่วงพักรถ ลิ้มรสใบชะคราม อาหารที่หากินได้เฉพาะในแถบนี้ ก็วิ่งตรงไปวัดก่อน อิ่มแล้วก็กลับมาสู่เส้นทางเดิมเพื่อเดินทางไปหัวหินต่อ


จากจุดนี้ก็ขับรถกินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ จนถึง บ้านแหลม เลยไปอีกไม่ไกล ก็จะได้พบป้ายให้เลือกทางออกตามต้องการ ใครจะวิ่งเข้ากลางเมืองเพชรบุรีมาออกถนนเพชรเกษม หรือจะวิ่งไปเลียบชายหาด ก็มีป้ายบอกตลอดเส้นทาง หรือถ้าใครอยากรู้ว่าโครงข่ายที่ถนนเส้นนี้โยงใยอยู่จะทะลุไหนได้ก็สามารถไปดูที่




หลังจากที่ Sugar Brown ฝันว่าบอกทางลัดอย่างเมามันส์ ก็ลืมตาโสลเสลมาเหล่ตะวันกันต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศแสงแรกแห่งวัน พระอาทิตย์โผล่พ้นน้ำออกมาทอแสงผ่านกลีบเมฆ บรรยากาศที่ต้องตะกายออกจากผ้าห่มอุ่น ๆ เพื่อเฝ้าดูภาพที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาที จนพระอาทิตย์สาดแสงรุนแรงพอที่จะมองด้วยตาเปล่าไม่ไหว ก็หันเหความสนใจไปที่ชายหาด ซึ่งก็น่าตะลึงไม่แพ้กัน



ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวที่เฝ้าดูบรรยากาศยามเช้า แต่ทะเลที่หัวหินนี้ยังอุดมสมบูรณ์พอที่จะมีเจ้าถิ่นนั่งดู เป็นเจ้าปูเสฉวนน้อย ค่อย ๆ แง้มเปลือกหอยออกมาสูดอากาศยามเช้า และใครที่เดินทางมาหัวหินแล้วยังเคยชินกับการวิ่งไล่จับปูลมละก็ ปูลมที่หัวหินมีมากพอที่จะทำให้คนไล่จับวิ่งจนเป็นลมได้เลยทีเดียว
เช็คเอาท์ออกจากที่พักก็เดินทางต่อ ย้อนกลับเข้าไปแถวตลาดหัวหินอีกครั้ง ตอนนี้ของกินดูจะน้อยกว่าตอนเย็น แต่จุดหมายที่เรามุ่งหน้าไม่ใช่หาของกินแต่เป็น สถานที่ที่ยังคงไว้ซึ่งมนต์ขลัง และสถาปัตยกรรมที่งดงามอย่าง สถานีรถไฟหัวหิน ต้นแบบที่ทำให้เมืองหัวหินทั้งเมืองเต็มไปด้วยป้ายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ สื่อให้เห็นถึงความเป็นหัวหินอย่างเด่นชัด ตัวอาคารสีขาวตัดกับแดง อยู่กันเป็นกลุ่ม ทั้งสถานีรถไฟหัวหิน พลับพลาพระมงกุฎเกล้า และศาลาบุรฉัตร์

เดินทางออกจากสถานีรถไฟหัวหิน จะกลับเลยโดยไม่ได้ไปไหว้หลวงปู่ทวดที่วัดห้วยมงคลก็ใช่ที่ เพราะที่นี่ เป็นรูปหล่อหลวงปู่ทวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก หน้าตักกว้าง 9.9 เมตร สูง 11.5 เมตร บนฐานสูง 3 ชั้น ชั้นล่างกว้าง 70 เมตร ยาว 70 เมตร ไหว้พระ ขอพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ขอโชคขอลาภ ขอให้ร่ำให้รวย การงานก้าวหน้า ครอบครัวอบอุ่น ให้ชีวิตมีแต่เรื่องดี ๆ มานึกได้อีกที ใส่กล่องทำบุญไปแค่ยี่สิบบาท ขอกันซะคุ้มเลยทีเดียว

พออิ่มบุญกันเรียบร้อย เราก็ล่องกลับกรุงเทพฯ โดยแวะเที่ยวตลอดเส้นทาง ใครจะวิ่งเส้นเลี่ยงเมืองกลับเลยก็ได้ แต่ให้ระวังด่านหน่อย ค่อย ๆ เหยียบกันไปเพราะถนนเส้นนี้เป็นพื้นที่จำกัดความเร็ว ส่วนทริปนี้ยังก่อนขอแอบไปแวะอีกสักที่ สองที่ก่อนกลับ ขับรถออกจากเมืองหัวหิน ยังไม่ทันถึงชะอำก็จะเห็น ค่ายพระราม 6 อยู่ด้านขวามือ ซึ่งภายในเต็มไปด้วยสถานที่ที่น่าสนใจเลยอดไม่ได้ที่จะแวะเวียนเข้าไป เที่ยวนี้ต่างจากทุกเที่ยวที่ผ่านมา เพราะกฎเกณฑ์ ในการเข้าชมที่ถูกจัดเป็นรอบ ซึ่งเวลาที่มีไม่อำนวยเลยเลือกที่จะปั่นจักรยานเลี้ยวซ้ายผ่านทางเข้าพระราชนิเวศน์มฤคทายวันไป


จุดแรก ที่เจอเป็นอนุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานกว้าง ถัดไปอีกหน่อยด้านขวามือก็จะพบกับ บ้านเจ้าพระยารามราฆพ เรือนพักของเจ้าพระยารามราฆพ ผู้ดำรงตำแหน่งสมุทราชองครักษ์ และเป็นมหาดเล็กหัวหน้าห้องพระบรรทม ตัวอาคารยกพื้นสูงด้วยคอนกรีต ผนังก่อด้วยซีเมนต์บล็อก พื้น ประตู และหน้าต่างไม้สัก เป็นแบบบ้านพักตากอากาศที่นิยมกันมากในสมัยนั้น


พักพอหายเหนื่อย ก็ปั่นจักรยานต่อไปยังสวนป่าชายเลนสิรินธร สวนป่าชายเลนที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูกเพื่อเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพชายฝั่งทะเล และแหล่งกำเนิดห่วงโซ่อาหาร ส่วนนี้ขี่จักรยานเข้าไปไม่ได้เพราะเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เดินเข้าไปตามสะพานไม้ก็มีอะไรให้ดูเรื่อย ๆ มีบรรยายถึงต้นไม้นานาพันธุ์ แต่ถ้าอยากได้ภาพในมุมสูงประหนึ่ง bird's-eye view แนะนำให้ขึ้นไปบนหอ ที่อยู่ปากทางเข้าป่าชายเลน ยืนให้ลมแรง ๆ พัดเหงื่อให้แห้ง ชมนกชมไม้ หายร้อนแล้วก็ลงไปปั่นจักรยานกันต่อ


คราวนี้ได้ฤกษ์ออกจากค่ายพระราม 6 จริง ๆ ซะที ตีรถกลับกรุงเทพฯ ก็อาจจะได้แวะทานข้าวริมทะเลอีกสักมื้อที่ชะอำ ร้านอาหารก็ตามแต่ลิ้นใครจะชอบรสชาดแบบไหน เลือกกันได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นชี้ กุ้ง หอย ปู ปลา มาเป็นกิโล แล้วสั่งที่ร้านทำเป็นเมนูตามต้องการ จะกินแบบนั่งดูทะเลบนเตียงผ้าใบให้ลมพัดทรายเข้าหน้าเล่น ๆ หรือกินในร้านเป็นเรื่องเป็นราว ก็ตามแต่ อิ่มแล้วขับรถต่อ ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของฝากมากมาย ทั้งที่เป็นเพิง เป็นร้าน อยู่ในปั๊มหรือตั้งอยู่เดี่ยว ๆ ก็จะเป็นบรรดา “แม่” ต่าง ๆ ทั้งแม่กิมลั้ง แม่กิมไล้ แม่กิมลุ้ย ฯลฯ จนอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า เจ้าของร้านเหล่านี้เค้าเป็นญาติโกโหติกากันมาแต่ชาติปางไหน เอาเป็นใครชอบแม่อะไรก็ซื้อกันตามสบาย หลังจากขับรถออกจากชะอำได้สักพัก มุ่งหน้ากรุงเทพฯ จะมีสะพานที่ลงมาบรรจบเส้นเลี่ยงเมืองกับเส้นเพชรเกษม จากจุดนั้น เลยไปไม่กี่ร้อยเมตร ช่วงประมาณกิโลเมตรที่ 198 จะเห็นปั๊มคาลเท็กซ์ด้านซ้ายมือเลยมาหน่อยจะได้พบบรรยากาศเมืองลพบุรีที่อำเภอชะอำ เพราะนอกจากเขาวังจะมีลิงเหมือนลพบุรีแล้ว ทุ่งทานตะวันก็ยังหาดูได้ที่นี่เช่นกัน

แวะเที่ยวกันจนหนำใจ คราวนี้ตีรถยาวจริง ๆ หละ จะได้ถึงกรุงเทพฯไม่ค่ำนัก จากจุดสุดท้ายที่แวะมาถึงกรุงเทพฯ ก็ประมาณไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่ถ้าใครยังพลังงานเหลือเฟือจะเก็บตกอัมพวา เพื่อให้คุ้มค่ากับการเดินก็อย่าได้รีรอ แต่สำหรับทริปนี้คงขอบาย กลับมาสลบอยู่บ้านเพราะเพลียแดดที่แผดเผาได้อย่างเมามันส์ จนตีตราจารึกว่าไปเที่ยวมาด้วยพุงที่ใหญ่ และผิวที่ออกจะไหม้มากไปกว่าเดิม แต่จะเป็นไรไป ถ้าจะต้องอยู่บ้านจนผิวขาวเป็นแป้ง ขอออกไปใช้แรงวิ่งไล่จับปูจะดูดีกว่า ว่ามั้ยยยยยยยยยย

1 ความคิดเห็น:

  1. โอ้วว ขอบคุณสำหรับ้ข้อมูลแน่นปึก
    เด๋วจะไปลองเส้นทางนี้มั่งค่ะ

    ตอบลบ