วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ปิ่นโต เถานี้มีแต่ความอร่อย

ปิ่นโต ปิ่นโต ปิ่นโต เป็นชื่อร้านอาหารเล็กๆในจังหวัดอ่างทอง ร้านปิ่นโตตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศจึงร่มรื่นมากๆ ร้านปิ่นโตตกแต่งสไตล์บาหลี เจ้าของร้านปิ่นโตคงเป็นคนที่รักต้นไม้เอามากๆ เพราะรอบๆร้านปิ่นโต ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ทั้งไม้หัวไม้กระถาง ไม้เลื้อย และไม้ยืนต้น (จริงๆแทบมองไม่เห็นไม้ยืนต้นเพราะมีเถาว์ไม้เลื้อยคลุมไปหมด) เรียกได้ว่าร้านปิ่นโต ตกแต่งได้อย่างลงตัวจริงๆ พอใกล้จะถึงร้านปิ่นโต สิ่งแรกที่สะดุดตาเลยคือ ถนนหนทางเข้าร้าน เออ...ร้านปิ่นโต เนี่ย เป็นร้านเพิงเหรอแก ทำไมทางเข้ามันเป็นแบบนี้ คำถามแรกที่ถามน้องที่เป็นคนเลือกร้านอาหาร ตอนที่วางโปรแกรมไปไหว้พระใหญ่ที่จังหวัดอ่างทอง น้องตอบว่า ไม่เลยครับพี่ ตอนแรกก็คิดว่าร้านปิ่นโต เป็นแบบต่างจังหวัดทั่วไป แต่พอเข้าไปดูในเวปไซต์ร้านปิ่นโต เวปเขาดูหรูมากๆเลยครับ ร้านก็ดูไฮโซทีเดียว พอลงจากรถและเดินไปตามทางเข้าร้าน สิ่งแรกที่สะดุดตาเลยคือดอกไม้ค่ะ ดอกไม้ ตามประสาผู้หญิงนั่นเอง



ซุ้มดอกมาลัยทอง
เป็นไม้เลื้อยที่เลื้อยอยู่ข้างบ้าน เป็นไม้เลื้อยสามารถเลี้ยงในกระถางได้ด้วย
ดอกสร้อยอินทนิล
เลื้อยอยู่ตรงหน้าร้านเลยค่ะ ประตูทางเข้าเลย ดอกสีขาวอมม่วงค่ะ ด้วยความที่ตัวเองชอบต้นไม้ ใบหญ้าอยู่แล้วก็เลยอดไม่ได้ที่จะไปสอบถามเจ้าของร้านปิ่นโต ที่ชื่อคุณโตค่ะ ว่าเขาเรียกดอกอะไร ปลูกยังไง คุณโตก็อุตส่าห์อธิบายอย่างดีว่าเป็นไม้ทนความแล้งได้ดี ขยายพันธุ์ด้วยการนำกิ่งไปชำลงดินได้เลย โดยเฉพาะมาลัยทองสามารถปลูกในกระถางได้ด้วยแต่ถ้าสร้างซุ้มให้จะช่วยบังแดดได้ดีทีเดียว แต่สำหรับสร้อยอินทนิลเป็นไม้เลื้อยที่มีต้นใหญ่เกินจะปลูกในกระถาง ทำซุ้มสวยๆดีกว่า ทั้ง 2 ชนิดออกดอกตลอดทั้งปี ดอกไม่มีกลิ่นหอมแต่สวย (เข้าทำนอง สวยแต่รูปจูบไม่หอมนั่นเอง) คุยเสร็จสรรพดิฉันก็หน้าด้านขอกิ่งเลยค่ะ คุณโตก็ใจดีตัดให้มาซะเยอะเลย แต่ตอนนี้มันทำท่าจะไม่รอด เพราะว่าที่ทางระเบียงคอนโดปัจจุบันก็เต็มไปด้วยต้นไม้อยู่แล้ว กะจะให้น้องที่ออฟฟิศเอาไปปลูกที่บ้านจังหวัดนนท์ฯ น้องก็ดันไปอบรมจนป่านนี้ยังไม่มีโอกาสเห็นหน้ากัน กว่าจะได้เจอะกันกิ่งสร้อยอินทนิล กับ มาลัยทอง ของพี่ก็คงเฉากันพอดี ก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าเพิ่งน้อยใจตายไปซะก่อนได้พบเจอดินก็แล้วกัน....

มุมกาแฟหน้าร้าน
ซุ้มเล็กๆ ทาสีขาว ประดับด้วยตุ๊กตาน่ารัก และไม้ดอกที่ออกดอกอวดกันเต็มกระถางแขวนเลยทีเดียว

มุมนี้สามารถสั่งกาแฟ เครื่องดื่ม มาทานเล่น เป็นมุนพักผ่อนที่น่ารักค่ะ

อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นถังอะไร น่าจะเป็นถังน้ำดื่ม ไม่รู้ว่าใช้งานได้ หรือแค่ประดับ แต่สวยดีเลยถ่ายมาซะด้วย


ป้ายชื่อร้าน pinto restaurant ค่ะ


ทางเข้าร้าน ร่มรื่นและเต็มไปด้วยต้นไม้ค่ะ

พ้นบันไดมาก็เป็นตู้โชว์ปิ่นโต และของใช้แบบโบราณ


ภายในมีบรรยากาศแบบเก่าๆ เพราะของตกแต่ง

บรรยากาศภายในร้าน จริงๆไม่มืดนะคะ
ไม้เลื้อยอีกชนิดหนึ่งค่ะ ไม่รู้จักชื่อ

ไม้ในกระถาง ประดับบนต้นเสา ด้านหลังร้าน ที่ติดริมน้ำเจ้าพระยา เห็นแล้วสบายตา เพราะท้องฟ้า สีฟ้าๆ นั่น


ป้ายแนะนำอาหาร หน้าร้านปิ่นโต
ปลาช่อนลุยสวน
เมนูนี้รสแซ่บเพราะน้ำจิ้มเข้มข้น หวานนำแต่ก็กลมกล่อม พอทานกับเครื่องเคียงแล้วก็อร่อยดี
แต่ไม่แนะนำสำหรับคนที่ไม่ทานเผ็ด
ต้มยำกุ้ง (น้ำข้น)
หม้อนี้ก็แซ่บจริงๆ เป็นเมนูที่สั่งแล้วไม่ผิดหวัง เพราะแซ่บถูกใจ เสียแต่เป็นน้ำข้น ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
ไก่ผัดเม็ดมะม่วง จานนี้ไม่ได้ทานเลย เพราะไม่ค่อยชอบอาหารออกรสหวาน

ปูนิ่มผัดผงกะหรี่
ชอบเมนูนี้ที่สุด ทานกับข้าวแล้วรสกำลังพอดี แต่ถ้าทานเล่นๆโดยไม่มีข้าวจะออกเค็มไปหน่อย
หลนปลาอินทรีย์
เมนูตบท้าย ทานเล่นๆกับผัก ไม่ต้องมีข้าว รสชาติใช้ได้ทีเดียว
เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก แต่พอหลนมาถึงท้องชักจะอิ่มก็เลยทานกันไม่หมด

สาวๆ ทำสวยใต้ซุ้มดอกมาลัยทอง
ก่อนทานอาหาร ขนาดหิวจะแย่ยังมีอารมณ์ทำสวย ทำเท่ห์กันได้
หลังจากทานอาหารเสร็จ สาวๆก็ทยอยกันไป Act สวยๆ ด้านหลังร้าน ติดริมน้ำเจ้าพระยา
บรรยากาศดี วิวสวย กับสาวงาม และกล้องถ่ายรูป (ของคู่กัน)
อีกสัก Act น่านะ
นางแบบตาหวานของเรา ขอฉายเดี่ยว (คนงามทำอะไรก็งาม)
ครึ้มฟ้า...ครึ้มฝน
ไม่ใช่เพราะอากาศค่ะ แต่เพราะกล้องของข้าพเจ้ามันมิเป็นใจนั่นเอง
ครึ้ม...แบบ เหงา เหงา
ครึ้ม....แบบ เศร้า เศร้า

เรื่องรสชาติอาหารเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลตามที่บอก แต่ถ้าท่านเป็นคนต่างถิ่นมีโอกาสไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะพระใหญ่ที่จังหวัดอ่างทองแล้วล่ะก็ ท่านอาจจะไม่คุ้นเคยกับร้านอาหารแถบพื้นที่ที่ท่านเพิ่งไปเป็นครั้งแรก ขอแนะนำร้านนี้เลยค่ะ ร้านปิ่นโต ร้านอาหารเล็กๆ สไตล์บาหลี บรรยากาศร่มรื่น อาหารก็อร่อย แถมราคาไม่แพงอย่งที่คิด วันนั้นเรานั่งกัน 4 โต๊ะ รวมราคา 2,780 บาทเท่านั้นเอง ตกโต๊ะละ 6-7 ร้อยบาทเท่านั้นเอง นอกจากอาหารอร่อย บรรยากาศจะดีแล้ว เจ้าของร้านคุณโตก็อัธยาศรัย และ น้ำใจดี ทีเดียว

แผนที่ไปร้าน pinto ค่อนข้างละเอียดทีเดียว
มีเบอร์โทรติดต่อ
website
เวลาเปิดทำการ
สามารถสั่งอาหารล่วงหน้าก่อนไปถึงร้าน

link ที่เกี่ยวข้อง
อยู่ดีกิ๋นหวานกันถ้วนหน้า






วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

Fly to the Sky Fly to Korea@Nami south Korea

Because of u Because of love....Because of Brian & Hwany....ha ha ha
ขี้นต้นเนื้อความเป็นเพลงของนักร้อง 2 หนุ่ม Fly to the sky แต่เนื้อหายังไม่ใช่ค่ะ แค่ built อารมณ์กันนิดเดียว Trip นี้จะพาไปเยือนเกาะนามิ ตามรอยหนุ่มเบยองจุน ขวัญใจสาวไทยหลายๆคน (แต่มิใช่เรา) เริ่มเดินทางไปเกาะนามิกันเลยจ้ะ
เกาะนามิ ใครที่เคยดูซี่รีส์เกาหลี คงคุ้นเคยกับ เกาะนามิ พอสมควร เพราะ เกาะนามี ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครดังหลายเรื่องและที่โด่งดังมากในเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนก็คือเรื่อง Winter Love Song หรือ เพลงรักในสายลมหนาว นั่นเอง จากละครเรื่องนี้ ทำให้เกาะนามิ เป็นที่รู้จักของคนไทยหลายๆคน เกาะนามิ ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของความโรแมนติค เพราะฉากในซีรี่ส์ดังหรือความดังของซีรี่ส์ก็ไม่ทราบได้ แต่ทำให้บริษัททัวร์หลายแห่งในไทยต้องจัดมีทัวร์ "ตามรอยซีรี่ส์ winter love song ที่เกาะนามิ" ถึงแม้ซีรี่ส์เรื่องนี้จะจบไปนานหลายปี แต่กระแสเกาหลีฟีเว่อร์ในเมืองไทย ไม่มีวี่แววว่าจะลดน้อยลงเลย วันนี้ก็เลยจะขอพาท่านแบกเป้ ขึ้นรถไฟ Korial ไปเที่ยวเกาะนามิ เกาะติดกระแสเกาหลีและตามรอยซีรี่ส์ดังอย่าง Winter love song เกาะนามิ เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงของเกาหลีใต้ ตั้งอยู่ที่เมืองชุนชอน จังหวัดคังวอน อยู่ห่างจากกรุงโซลที่เราพักประมาณ 60กว่ากิโลเท่านั้น สบายๆ สำหรับแม้วอย่างพวกเราเลยค่ะ เท่ากับนั่งรถข้ามอำเภอในประเทศไทยเท่านั้นเอง



ว่าแล้ว......สาวๆก็แบกเป้ สะพายกล้อง ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าสู่เกาะนามิ โดยเริ่มต้นจาก City hall นั่งรถไฟใต้ดินสายอะไรก็จำไม่ค่อยได้ (หลงบ่อยเพราะจำสายไม่ได้นี่แหละ) ไปลงที่สถานีซองยางรี ต่อรถไฟไปลงที่สถานีกาพยอง แล้วต่อTaxi เลยค่ะ ไปยังท่าเรือเกาะนามิ เกาะแห่งความโรแมนติคของคู่รักหนุ่มสาว

มาเกาหลีครั้งแรก ก็หลงได้หลงดี
.....จำเบอร์นี้เลย 1330 โทรโลดดดดด.....





จาก City Hall นั่งรถไฟมาที่สถานีซองยางรี ใช้เวลาไม่นานเลย ชั่วโมงกว่า หรือเกือบๆชั่วโมงก็จำไม่ค่อยได้
(ไม่ค่อยแน่ใจอ่านถูกหรือเปล่า พออ่านเกาหลีได้ แต่แปลไม่ได้ 555555+ แล้วจะรอดอ่ะเปล่า) ต่อรถไฟไปยังกาพยอง
ป้ายสถานี ซองยางรี (ในตั๋วเขาว่า Cheongnyangni ไม่แน่ใจว่าอ่านว่าอะไร)

ทัศนียภาพที่สถานีCheongnyangni
ตู้โชว์ของที่ระลึก
เช็คตารางเดินรถ และ เส้นทางที่นี่เลยจ้า

ซื้อตั๋วไปลงกาพยอง (Gapyeong)
ราคา 3,800 วอนเท่านั้น คิดเป็นเงินไทยก็ไม่กี่ร้อยบาทเอง ตอนที่ไปจำไม่ได้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนมันเท่าไหร่

วิธีทานไข่ต้มของคนเกาหลี (เกาะกระแสเกาหลีจริงๆเรา)
บนรถไฟของเกาหลี ก็มีสิ้นค้าขายเหมือนในเมืองไทยแหละ แต่ที่นิยมเลย เราก็จะเห็นบ่อยๆในซีรี่ส์ก็คือ ไข่ต้ม ค่ะ ไข่ต้มขายเป็นแพ็คมาพร้อมเกลือ สำหรับจิ้มให้ได้รสชาดไปอีกแบบ แต่ว่าที่แปลกว่าไข่ต้มคนไทยก็คือ พอปอกเปลือกไข่ออกแล้ว ข้างในเป็นสีน้ำตาล ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมียนกัลล์

ปล.......อีกอย่าง ถ้าจะให้ครบรสชาดเกาหลี เวลาจะแกะเปลือกไข่ต้องนำไข่ไปตอกที่หัวก่อน (หัวตัวเองนะจ๊ะ ไม่ใช่หัวคนอื่น)
จะตอกทำม่ายยยยยยย เจ็บจะตาย แถมไข่ก็ไม่แตกซะอีก มาถึงกาพยองแล้วก็ไม่รีรอนั่งรถ Taxi มุ่งหน้าสู่ท่าเรือเกาะนามิทันทีทันใด
(อ่านป้ายได้ว่านามิชอม ที่แปลว่าเกาะนามินั่นเอง)
เพราะมีเวลาจำกัดเนื่องจากต้องรีบกลับโซลเพื่อขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยคืนนี้ซะด้วย
ถ้ามีเวลากะจะตามรอยซีรี่ส์อีกเรื่องที่กาพยองเนี่ยแหละ งามไม่แพ้นามิค่ะ

และแล้วเราก็มาถึงท่าเรือข้ามไปเกาะนามิ โดยสวัสดิภาพ
แต่ทำไมภาพถึงมาหยุดที่อาจัชชี่ ร้านขายปลาหมึก ก็เพราะความหิวนั่นหละ จึงได้ปลาหมึกมาหม่ำซะหนึ่งไม้ อาหย่อยย ร้านข้าวโพดหวาน

ดูหลักฐานซะก่อน ถือข้าวโพดหวาน Act หน้าทางเข้าท่าเรือเกาะนามิ
ยืนยันว่ามาถึงแล้ว ไชโย...แม้วจะไปเกาะ
จะก้มดูอะไรมิทราบได้



ทางเดินสู่ท่าเรือข้ามไปเกาะนามิจ้า.....
อย่าเข้าใจผิด ยังไม่ถึงเกาะนามิจ้ะ ต้องนั่งเรือข้ามฟากไปอีกนี๊ดหนึ่ง (แป๊บเดียวเอง)
ค่าเรือก็จำไม่ได้ว่ากี่พันวอน รู้แต่ว่าพอๆกับค่ารถไฟที่เรานั่งมากาพยอง อาจจะมากกว่านิดหน่อย
(เด็ก ผู้ใหญ่ ก็ราคาต่างกันจ้า) Welcome จ้า
แล้วเราก็เดินลงไปที่ท่าเรือกันเลย


ระหว่างทางลงไปท่าเรือ
(อาศัยหลบแดดระหว่างรอเรือเทียบท่าจ้า)
เรือมาแล้ว เดินไปลงเรือได้เลยจ้า
จะขึ้นเรือแล้วจ้า ดูทิวทัศน์ระหว่างทางไปเกาะนามิดีก่าเน้อ
คู่รักยิ้มอายๆ ตอนดิฉันกดชัตเตอร์ ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก (ซะหน่อยนา)
และก็มาถึง เกาะนามิ แป๊บเดียวเอง ถึงซะหละ
เดินเข้าไปเลยจ้ะ
ปฏิมากรรม ระหว่างทาง ในเกาะนามิ
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องหินหรือเปล่า
(อันนี้คิดเอง เพราะเห็นในซีรี่ส์เขาชอบนำหินไปวางซ้อนกัน แล้วอธิษฐานอ่ะ)
นี่ก็ปฏิมากรรม ไม่เหมือนแนวเกาหลีเน๊าะ ออกแนวๆแอฟริกา มากกว่า
อันนี้ไม่รู้อารายยยยยย...แต่ก็เห็นความงาม ตามแบบของอิชั้นเองคร่า
มุมนี้มีไว้ทำซึ้งคร่า.....แต่ไม่กล้าทำซึ้งคนเดียว เฮ้อ....คนไร้คู่ก็งี้...
ร้านขายของที่ระลึก ได้ของฝากจากร้านนี้แหละคร่า....ที่ชอบสุดคือน้ำหอมจากดอกไม้

Act ทางเดินระหว่างต้นสน
(ชอบฉากที่คู่รักเดินระหว่างทิวสนจริงๆ ค่ะ แต่ว่ารูปมันหายยยย.....ฮือ ฮือ)

ทัศนียภาพภายในเกาะนามิค่ะ
สดชื่นจริงๆ ช่วงที่เราไปเป็นกลางเดือนกรกฎาคม อากาศที่เกาหลีกำลังดี
เจอฝนแค่วันแรกเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่ร้อนและไม่หนาวค่ะ ครึ้มๆ เพราะฝนปรอย ปรอย นิดหน่อย
ต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสี
เขาบอกว่าช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่เกาะนามิจะมีเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีด้วย
ต้นไม้ที่เห็นเป็นสีเขียวในตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเต็มไปหมด น่าเที่ยวจริงๆ
คู่รักปั่นจักรยาน กิจกรรมยอดฮิตที่เกาะนามิค่ะ
มุมสงบ สงบจริงๆ

เริ่มเข้าสู่ Zone ที่เคยเป็นฉากในซีรี่ส์สุดฮิต winter love song

ขอAct กับพระ-นาง เป็นที่ระลึกสักภาพจ้า

ภาพฉากหวานๆ ในละคร ที่บอกว่าเคยถ่ายทำที่นี่นะจ๊ะ ที่เกาะนามิ นั่นแหละ

ลายเซ็นคุณผู้กำกับคนดังและคนเก่ง ที่กำกับซีรี่ส์ดังมาหลายเรื่องแล้ว

Zoom ใกล้ๆอีกนี๊ด ดูสิท่านผู้กำกับคนดังเขียนว่ายังไงบ้าง

รูปปั้นพระเอก-นางเอก ดังกันซะขนาดมีรูปปั้นเลยเน๊าะ

ยืนทำหวาน ให้นึกถึงฉากในซีรี่ส์



ข้อมูลส่วนตัวค่ะประโยคทองที่ต้องพูดให้ได้ เมื่อต้องไปเกาหลี เป็นประโยคเด็ด เพราะใช้ได้ผล (โดยเฉพาะเวลาต่อรองราคา)

  1. อันนิยอง ฮาเซโย แปลว่า สวัสดี นั่นเอง (เวลาเจอกันครั้งแรก) ได้ใช้กับพนักงานโรงแรมทุกวัน
  2. คัมซา ฮัมนิดา แปลว่า ขอบคุณ
  3. ซิลเล ฮัมนิดา แปลว่า ขอโทษ (อันนี้ใช้บ่อยเวลาจะถามทาง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคนเกาหลีไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษนั่นเอง ที่เราเจอบ่อยๆเลยคือ กิริยาโบกไม้โบกมืออันแสดงว่า อย่ามายุ่งกับชั้นนา ได้โปรด)
  4. โดวา จูเซโย แปลว่า ช่วยหน่อย ช่วยด้วย
  5. จม กากา จูเซโย แปลว่า ลดราคาให้หน่อยได้ไหม (อันนี้ใช้บ่อย) คู่กับคำวา โดวา จูเซโย
  6. please please please พูดไปเลย ประโยคนี้คนเกาหลีก็รู้ ก้มหัวหน่อยๆ ยิ่งจะได้ลดราคาเยอะๆเลย


ไปเกาหลีคราวนี้จะว่าอิ่มก็อิ่ม จะว่าเหนื่อยก็เหนื่อย เพราะเราไปกันเองก็เลยหลงตลอดเวลา เงินก็เลยหมดไปกับค่ารถกลับไปกลับมา และกล้องถ่ายรูปของเพื่อนก็หายซะอีก ทำให้รูปวันแรกจนถึงวันที่3 หายไปกับกล้อง แต่ก็ได้ประสบการณ์ดีมากๆ คนเกาหลีคล้ายๆคนไทย อัธยาศรัยดี น่ารัก แต่....อันนี้ความรู้สึกส่วนตัวจ้า ครือ เด็กวัยรุ่นเกาหลีหาคนหน้าตาดีได้ยากมากๆ เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลย พวกเรามุ่งหวังมากๆเลยว่าไปเกาหลีต้องได้เจอหนุ่มหน้าตาดี แต่ทีไหนได้ 4 วัน 5 คืนที่อยู่เกาหลี จะบนรถไฟฟ้า ท้องถนน ห้างสรรพสินค้า หาไม่เจอเลย อันนี้พูดด้วยความภูมิใจว่า เด็กไทยน่าร๊ากที่สุด แถมมีเกลื่อนถนนด้วย มองไปทางไหนก็เห็นแต่เด็กน่ารัก จิ้มลิ้ม กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ แก้มใส ผิวพรรณดี๊ดี


อ่านblog นี้อาจจะไม่ได้ความรู้อะไรเกี่ยวกับเกาหลีมากมาย เพราะความทรงจำผ่านมา 2 ปีแล้ว ก็เลยจำสับสนไปบ้าง (ปกติก็ความจำปลาทองอยู่แล้ว) แต่อยากให้เห็นบรรยากาศในมุมของคนที่ไปเที่ยวกันเอง ไม่ใช่ไปกับทัวร์ ดังนั้นเราก็จะเลือกทำสิ่งที่เราอยากทำ ไม่ได้ทำเพราะมีไกด์พาไป ประสบการณ์และมุมมองของแต่ละคนก็สวยงามในแบบของตนเอง บางสิ่งไม่สามารถชั่งหรือวัดออกมาเป็นค่าสถิติได้ เช่นเดียวกับความสุขของคนเรา มากน้อยไม่ใช่คนอื่นมาตัดสิน แต่มันคือความพอใจของคนที่เป็นเจ้าของชีวิตนั่นเอง


สุดท้ายมีประโยคที่ชอบมากที่สุดมาฝากทุกท่าน (จำเขามา)


ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด


จงนำแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย


น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้


อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น


ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง


หลายๆคนอาจจำเป็นต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะต้อง

"หาเลี้ยงชีวิต "


นอกจากชีวิตตัวเอง ยังมีชีวิตของคนในครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ


แต่ถึงอย่างไร ก็อยากจะให้ท่านหาเวลาเวลาใช้ชีวิต ดูบ้าง


เพียงความสุขเล็กๆน้อยๆก็สามารถสร้างพลังชีวิตให้คุณได้เดินต่อไปอย่างแข็งแรง...


ที่สำคัญ "ความสุขมีอยู่ทั่วไป ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นหรือไม่"


ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมค่ะ


พบกันใหม่ trip หน้า


อยู่ดีกิ๋นหวาน กันถ้วนหน้านะคะ


bye